รีวิวหนัง ดูน
รีวิวหนัง netflix ประสบการณ์ส่วนตัวของผมที่มีต่อ ‘Dune’ ในฉบับของผู้กำกับเดวิด ลินช์ (David Lynch) คงหนีไม่พ้นคำว่าเหวอแตกและง่วงหงาวหาวนอน ! แม้จะยอมรับว่าหนังฉบับปี 1984 ที่เมืองไทยอุตส่าห์ตั้งชื่อว่า ‘สมรภูมิจ้าวจักรวาล’ จะมีความทะเยอทะยานและงานโปรดักชันที่ดูไม่ขี้เหร่เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีการสร้างที่ยังไม่รุดหน้าเท่าทุกวันนี้ จนส่วนตัวเองก็เชื่อไปแล้วว่านิยายเรื่องนี้ของ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต (Frank Herbert) คงไม่ใช่ของง่ายและน่าจะเป็นยาขมไม่น้อยสำหรับใครที่คิดจะหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่แล้วก็มีคนลองดีจนได้ และการตลาดก็ปั้นหน้าหนังซะกลายเป็นไซไฟผจญภัยเกินหน้าความเซน (Zen) ของนิยายไปหลายช่วงตัวแต่ในเมื่อมีชื่อของ เดอนีส วิลล์เนิฟว์ (Denis Villeneuve) ผู้กำกับชาวแคนาดาที่ฝีมือไม่ธรรมดาหยิบมาทำหนังคงยากที่จะห้ามใจไม่ให้ลองของกันอีกสักที
จุดเริ่มต้นเรื่องราวของ ‘Dune’ คือ”สไปซ์”ทรัพยากรทรงคุณค่าแห่งดาวอาร์ราคีสที่เดิมจักรพรรดิ์พาดิชาห์เคยให้ตระกูลฮาร์คอนเนนปกครองและทำหน้าที่สกัดสไปซ์ส่งออกให้ผู้มีอำนาจ แต่แล้ววันดีคืนดีจักรพรรดิ์ก็มอบหมายให้ตระกูลอเทรดีส อันสูงศักดิ์เดินทางไปดูแลหัวเมืองอย่างอาร์ราคีสและผลิตสไปซ์ป้อนเข้าส่วนกลาง แต่แท้จริงแล้วมันคือแผนของจักรพรรดิ์ที่ต้องการรวบอำนาจและกำจัดคู่แข่งทางการเมืองอย่าง เลโท อเทรดีส (รับบทโดยออสการ์ ไอแซค Oscar Isaac) รวมถึงเหล่าฟรีเมนผู้ครองทะเลทรายแห่งอาร์ราคีสให้สิ้นซาก
โดยความหวังเดียวของดาวอาร์ราคีสฝากไว้ที่ พอล อเทรดีส(ทีโมธี ชาลาเมต์ Timothée Chalamet) บุตรของเลโทที่ถูกฝึกให้ใช้วิชาแห่งเสียงจาก เจสสิกา อเทรดีส (รีเบคกา เฟอร์กูสัน Rebecca Ferguson) สนมเอกของเลโทและแม่ของพอลที่สืบทอดลัทธิเกสเซอริต กลุ่มสตรีทรงอำนาจคอยชักใยความเป็นไปทางการเมืองโดยอาศัยมนตร์ดำและโดยปริยายที่พอลจะกลายเป็นผู้ถูกเลือกที่ชาวฟรีเมนเชื่อมาตลอดแต่มหาศึกครั้งนี้ไม่่ง่ายและยิ่งโหดหินเมื่อ บารอนวลาดิเมียร์ ฮาร์คอนเนน (สเตลลาน สการ์สการ์ด Stellan Skarsgard) และกองทัพจ้องขยี้ทัพของอเทรดีสและยึดอาร์ราคีสด้วยความอำมหิต
รีวิวหนัง ดูน
ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ‘Dune’ ไม่ใช่ของกล้วย ๆ ที่ใครจะเอามาทำภาพยนตร์ดีๆ ได้แต่ก็ด้วยแพชชันของเดอนีส์ วิลล์เนิฟว์ที่เป็นแฟนนิยายมาทั้งชีวิตและสำหรับบทหนังวิลล์เนิฟว์ร่วมเขียนกับอีริค รอธ(Eric Roth)มือเขียนบทระดับตำนานจาก ‘Forrest Gump’ และ จอห์น สเปตส์(Jon Spaihts)นักเขียนบทหนังไซไฟมือฉมังจาก ‘Prometheus’ มารังสรรค์บทหนังโดยดัดแปลงจากนิยายเล่มแรกแต่จะเล่าเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นในหนังภาคนี้
แต่ถึงจะกำหนดว่าหนังจากนิยายเล่มแรกจะแบ่งเป็น 2 ภาคและหนังเรื่องนี้คือเรื่องราวเพียงครึ่งแรกเท่านั้นแต่เนื้อหาและหัวใจของเรื่องราวกลับถูกเก็บได้ครบถ้วนทั้งเกมการเมืองสกปรก อำนาจนายทุนไปจนถึงองค์ประกอบของความเป็นไซไฟที่เชื่อมโยงเนื้อหาแฟนตาซีเพ้อฝันเข้ากับปัญหาความเหลื่อมล้ำในโลกใบนี้ตามเจตนารมย์ของแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ตได้ไม่มีตกหล่นและวิลเนิฟว์ยังสามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ลงตัวและดูสนุกเกินคาด
นอกจากนี้หนังยังขายความอลังการ (Spectacular) ของงานวิชวลได้อย่างสร้างสรรค์และน่าประทับใจซึ่งแทนที่จะเอาคอมพิวเตอร์เนรมิตรมันเสียทุกอย่าง แต่งานดีไซน์แบบจับต้องได้ (Practical) ตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผมไปยันการออกแบบงานสร้างสุดวิจิตรพิศดารหลากวัฒนธรรมผสมผสานทั้งเสื้อผ้าแบบอาหรับ ชุด งานพิธีและสถาปัตยกรรมแบบอิสลามต่างหากที่ทำให้ ‘Dune’ ฉบับนี้เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และอาจเป็นต้นแบบให้เกิดงานดีไซน์แบบพหุวัฒนธรรมต่อไปได้ไม่รู้จบ
และด้วยทักษะการใช้งานวิชวลเล่าเรื่องอย่างช่ำชอง คราวนี้วิลล์เนิฟว์เลือกเอากล้อง อเล็กซาไอแมกซ์ (Alexa Imax) มาถ่ายทอดทั้งความกว้างขวางของทะเลทรายและความวอดวายของสงครามเลยผลักดันให้งานภาพของหนังไปไกลกว่าแค่งานตีหัวเข้าบ้านจนทำให้วลี “See It In IMAX” ไม่น่าเกินเลยสำหรับ ‘Dune’ แม้แต่น้อย เพราะมันไม่เพียงสร้างความใหญ่โตให้ภาพบนจอแบบไร้ความหมายแต่ยังผลักดันและขับเน้นพลังของงานภาพและเรื่องราวได้ทรงพลังมาก ๆ
ปิดท้ายที่งานรวมดาราของหนังซี่งก็ต้องยอมรับว่า รีเบคกา เฟอร์กูสัน ดูจะได้ความโดดเด่นจากหนังไปเยอะที่สุดทั้งจำนวนช็อตที่ปรากฎกายหรือกระทั่งความสำคัญในหนังและเธอก็ถ่ายทอดบทบาทได้อย่างโดดเด่นจริง ๆ ส่วนทีโมธี ชาลาเมต์ก็ฉายเสน่ห์อย่างเต็มเปี่ยมและถ่ายทอดเคมีความโรแมนติกกับเซนดายาได้อย่างลงตัว แต่ตำแหน่งนักแสดงที่สาว ๆ จะกรี้ดที่สุดเห็นจะเป็น เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) ในบท ดันแคน ไอดาโฮ ที่มาลุคหนุ่มล่ำเคราเตียน ๆ พร้อมคิวบู๊มัน ๆ เท่ ๆ ที่บอกเลยว่าสาว ๆ มีละลายแน่นอน
คงไม่ต้องอวยอะไรกันให้มากมายอีกแล้วนอกจากอยากเชิญให้คุณไปพิสูจน์ด้วยตาตนเองใครสะดวกโรงหนังธรรมดาก็ยังให้อรรถรสอยู่แต่หากต้องการมีประสบการณ์ร่วมกับหนังแบบสุด ๆ ผมแนะนำให้ดูในโรงไอแมกซ์ครับ เชื่อเถอะว่าดูแล้วจะนึกไม่ออกเลยว่าเราจะดูหนังสเกลนี้ ทำได้ดีขนาดนี้ในจอเล็ก ๆ ได้ยังไง
เสด็จพ่อ Denis Villeneuve เป็นผู้กำกับเบอร์ต้น ๆ แห่งยุค และเคยเข้าชิงออสการ์จากผลงานไซไฟ-ปรัชญาสุดล้ำอย่าง Arrival บันไดความสำเร็จครั้งนั้นสานฝันในวัยเยาว์ของเขา นั่นคือการหยิบเอานิยายไซไฟสุดคลาสสิกของ Frank Herbert ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1965 และไม่เคยประสบความสำเร็จในการทำเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์เลยสักครั้ง มาเนรมิตเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ โดยใช้ทุนสร้างสูงถึง 165 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และลงทุนไปถ่ายทำ ณ ทะเลทรายจริง ๆ ที่จอร์แดนและสหรัฐฯ อาหรับ เอมิเรตส์ อันร้อนระอุ
นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของโลกอนาคตอันไกลโพ้น
Dune จ่าหน้าตั้งแต่เริ่มเรื่องว่าเป็น “Part 1” ให้คนดูทำใจล่วงหน้าว่า นี่คือแค่ปฐมบท หนังจะจบแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะ Dune Part 1 เป็นแค่ครึ่งแรกของหนังสือนิยายเล่มหนึ่งเท่านั้น โดยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 10191 ซึ่งเป็นอนาคตอันไกลโพ้น และผู้คนแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มอำนาจ
เรื่องเริ่มจากจักรวรรดิบัญชาให้ Duke Leto (Oscar Isaac จาก Star Wars) แห่งตระกูล Atreides ไปปกครอง Arrakis ดาวที่เป็นดินแดนแห่งทะเลทราย แต่ก็เป็นทั้งแหล่งทรัพยากรที่ล้ำค่าอย่าง “Spice” อีกทั้งยังเป็นบ้านของกลุ่มชน Fremen ซึ่งนำโดย Stilgar (Javier Bardem จาก No Country for Old Men) และ “หนอนทะเลทราย” ดูหนังใหม่
ครอบครัวของ Duke ได้แก่ Lady Jessica (Rebecca Ferguson จาก Mission: Impossible) และทายาทคนเดียว Paul (Timothée Chalamet จาก Call Me by Your Name) พร้อมด้วยทหารคนสนิทอย่าง Gurney Halleck (Josh Brolin จาก Avengers), Duncan Idaho (Jason Momoa จาก Aquaman), Thufir Hawat (Stephen McKinley Henderson จาก Fences), และหมอ Yueh (Chen Chang จาก Crouching Tiger, Hidden Dragon) จึงต้องย้ายบ้านและกองทัพไปดาวดวงใหม่
หนัง ดูน
ความเต็มอิ่มที่ไม่เต็มอิ่ม
สิ่งเดียวที่รู้สึกไม่เต็มอิ่มคือ Dune Part 1 มาเพื่อปูล้วน ๆ ไม่มีกุ้งผสม ความรู้สึกถูกทิ้งไว้กลางทาง เวลาสองชั่วโมงครึ่งที่ผ่านมาเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น การเดินทางจริง ๆ ของ Paul มันจะเริ่มขึ้นใน Part 2 นู่นต่างหาก
รวมถึง Zendaya ที่เหมือนถูกโปรโมตเสมือนเป็นตัวนำตีขนาบคู่กับ Timothée (และเป็นคนเล่าเรื่อง) ก็มีบทไม่ได้มากกว่าที่เราเห็นในเทรลเลอร์สักเท่าไหร่ (เหมือนจะไปมีบทบาทในภาคหน้า ๆ มากกว่า) ส่วนผู้หญิงที่เป็นตัวนำประกบกับ Timothée จริง ๆ ของภาคนี้คือ Ferguson ซึ่งมาในสไตล์แม่มด สกิลพลังจิตโกงชาวบ้านชาวช่องเค้าอีกละ
งานศิลป์ที่เสพง่ายของเสด็จพ่อวิลล์เนิร์ฟ
จะว่าไป Dune นี่ถือเป็นผลงานที่ดูง่ายแล้ว สำหรับ Denis Villeneuve อย่างน้อยที่สุด เขาก็เอานักแสดงตัวท็อป ทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็ก ที่คนดูหนังส่วนใหญ่คุ้นหน้าคุ้นตามาแสดงแทบทั้งแผง ซึ่งแต่ละคนล้วนมีดีกรีเข้าชิงออสการ์หรือผ่านการเล่นหนังบล็อกบัสเตอร์มาแล้วทั้งนั้น ทำให้คนดูรู้สึก struggle น้อยหน่อยในการจดจำตัวละครและทำความเข้าใจศัพท์แสงลิเกอวกาศจากยุคดิสโธเปีย
นอกจากนี้ เนื่องจากหนังสือต้นฉบับของ Frank Herbert มีธีมหรือแก่นของเรื่องที่ค่อนข้าง universal แล้วในปัจจุบัน ทั้งเรื่องความกลัว การแย่งชิงทรัพยากร โลกร้อน สงคราม ความเชื่อหรือศาสนา ระบบทหารและศักดินา การเมือง การยึดอำนาจ การล่าอาณานิคม ที่เราคุ้นเคยกันดีจาก Game of Thrones, Mad Max, ฯลฯ (และชีวิตจริงในประเทศของเรา) อีกทั้ง Dune ยังเป็นแรงบันดาลใจของหนัง/ซีรีส์ space travel ชื่อดังในยุคต่อมาหลายเรื่อง รวมถึง Star Wars ดังนั้น เนื้อหาของ Dune จึงไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่คิด
สำหรับเรา Dune คือหนังที่เรารู้สึกคุ้มค่า ทั้งเงินและเวลา และชอบติด Top 10 ของปี 2021 อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เราก็ยอมรับว่า มันอาจไม่ใช่หนังที่ทุกคนจะดูสนุก สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับหนังแนวนี้หรือสไตล์ของผู้กำกับคนนี้ ก็อาจจะต้องอดทนและอาศัยความพยายามในการเข้าถึงนิดหน่อยในตอนเริ่มเรื่อง ดูหนังฟรี
โดยสำหรับคนกลุ่มลักษณะนี้ เราแนะนำให้อ่านเรื่องย่อและทำความเข้าใจแผนผังตัวละครก่อนเข้าชม เพื่อที่จะได้คลายความกังวลในการติดตามเรื่อง รวมถึงเลือกรับชมในโรง IMAX เพื่อเสพภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเราเชื่อว่า หากคุณเครื่องติดเมื่อไหร่ คุณจะต้องถูกดูดและหลุดเข้าไปในโลกของ Dune โดยไม่ทันตั้งตัว