รีวิว เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน
รีวิวซีรี่ย์ netflix คนที่เคยเจ็บปวดเท่านั้นถึงจะเข้าใจความเจ็บปวดที่แท้จริง ซีรีส์เรื่อง It’s Okay To Not Be Okay (เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน) เป็นซีรีส์แนวดราม่า โรแมนติก ที่หยิบยกเอาประเด็นสุขภาพจิตซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมยุคปัจจุบัน มานำเสนอผ่านตัวละครที่มีอดีตอันเลวร้าย ต้องแบกรับความกดดันหลายอย่างตั้งแต่เด็ก และพยายามที่จะเอาชนะความเจ็บปวดที่มีไปให้ได้
เนื้อเรื่องโดยย่อ
เรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลผู้ป่วยทางจิต ในโรงพยาบาลจิตเวช ซึ่งตัวเขาเองก็มีพี่ชายที่ป่วยเป็นออทิสติก เขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อดูแลพี่ชายของเขา ทำให้เขาต้องแบกรับอะไรหลายอย่าง และกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุขกับชีวิต เพราะตัวเขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตเป็นของตัวเองเลย จนกระทั่งเขาได้เจอกับนักเขียนสาวคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder หรือ ASPD) อันเนื่องมาจากปมในอดีตของเธอ และเมื่อคนที่มีปัญหาและมีปมในอดีตเหมือน ๆ กันได้รู้จักจึงทำให้คนทั้งคู่เริ่มเปิดใจเข้าหากัน จนปมในอดีตนั้นกลับมาทำร้ายพวกเขาทั้งสองคน ดูหนัง
นักแสดง
คิมซูฮยอน ในบทบาทของ มุนคังแท เจ้าหน้าที่ดูแลผู้ป่วยทางจิต ซึ่งเป็นการกลับมาอย่างเป็นทางการในการแสดงซีรีส์ในรอบ 5 ปีของเขา
ซอเยจี มารับบท โกมุนยอง นักเขียนสาวชื่อดังผู้ต่อต้านสังคม ร่วมกับนักแสดงสมทบชายมากฝีมือ โอจองเซ กับบทบาท มุนซังแท พี่ชายที่ป่วยเป็นออทิสติกของมุนคังแท แค่ชื่อของนักแสดงก็แทบจะการันตีแล้วว่าซีรีส์นี้ไม่ได้มาเล่น ๆ
การดำเนินเรื่อง
รีวิว เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน
ซีรีส์เรื่อง It’s Okay To Not Be Okay (เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน) มีการดำเนินเรื่องในแต่ละตอนเหมือนกับเป็นนิทาน 1 เรื่อง ร้อยเรียงกันมาอย่างดีเพื่อส่งอารมณ์ให้กับตอนต่อ ๆ ไป โดยแต่ละตอนจะเล่นกับความรู้สึกของคนดู พาคนดูเข้าไปอยู่ในสังคมของผู้ป่วยทางจิต ไปดูว่าพวกเขาต้องเจ็บปวดขนาดไหน เข้มแข็งขนาดไหน ถึงจะก้าวข้ามผ่านเรื่องเลวร้ายต่อหน้าไปได้ ดูหนังออนไลน์
เหมือนกับตัวนักแสดงนำที่เจ็บปวดกับเรื่องภายในอดีต และต้องเข้มแข็งเพื่อผ่านจุดที่เลวร้ายนั้นไปให้ได้ โดยในแต่ละตอนจะมีการทรอดแทรกเรื่องราวความอบอุ่นของคนในครอบครัวเข้าไป เผื่อปลอบประโลมความเจ็บปวดของตัวละคร และคนดูได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ตัวซีรีส์ต้องการจะสื่อ “ชีวิตของเราเป็นของเรา ตัวเราเป็นของเราไม่ใช่ของคนอื่น และคนที่เคยเจ็บปวดเท่านั้นถึงจะเข้าใจความเจ็บปวดที่แท้จริง และหาทางจัดการกับความเจ็บปวดนั้นได้” คงเป็นประโยคที่แสดงสิ่งที่ตัวซีรีส์ต้องการจะสื่อได้ดีที่สุดแล้ว
ความรู้สึกหลังดูจบ สำหรับความรู้สึกหลังดูจบคงบอกได้แค่ว่า “สมบูรณ์แบบ” คำนี้คงไม่เกินไปสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ เป็นซีรีส์ที่ดีมากอีกหนึ่งเรื่องที่อยากแนะนำให้ทุกท่านไปดู ตั้งแต่เริ่มเรื่อง การดำเนินเรื่อง บทสรุป ดึงความรู้สึกของคนดูออกมาได้ดีมาก ไม่ว่าจะเศร้า เครียด ตลก ความรัก ที่สำคัญความอบอุ่นของครอบครัว และการเยียวยาตัวเอง แนะนำให้ทุกท่านไปดูกัน ไม่ผิดหวังแน่นอน
สำหรับซีรีส์เรื่อง It’s Okay To Not Be Okay (เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน) นั้นเริ่มออกอากาศเมื่อ 20 มิถุนายน ถึง 9 สิงหาคม 2020 มีจำนวนทั้งสิ้น 16 ตอน และได้รับคะแนนจาก IMDB อยู่ที่ 8.8/10 สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูต้องรีบไปดูแล้ว และคนที่ได้ดูแล้วก็อย่าลืมกลับไปทบทวนความทรงจำดี ๆ กันนะ
“It’s Okay to Not Be Okay” เป็นซีรีส์ที่โด่งดังมากตั้งแต่มีข่าววางตัวการแสดง เพราะเรื่องนี้จะเป็นซีรีส์คัมแบ็คของนักแสดงฮันรยูสตาร์อย่าง “คิมซูฮยอน“ หลังจากปลดประจำการทหาร หลังจากที่ทำให้แฟน ๆ คิดถึงมานาน ในที่สุดเขาก็ตอบรับว่าจะแสดงนำในซีรีส์เรื่องนี้ โดย It’s Okay to Not Be Okay ซึ่งเป็นซีรีส์ที่บอกเล่าเรื่องราวของ “มุนคังแท” และ “โกมุนยอง”
ที่พัฒนาความรักที่ผิดปกติไปพร้อม ๆ กับการรักษาบาดแผลทางอารมณ์และจิตใจของกันและกัน หลายคนอาจจะคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้คล้ายกับนิทานแฟนตาซีที่มีตัวละครลึกลับและแปลกตา เพราะมีพล็อตที่แปลกใหม่นำเสนอชีวิตของผู้ดูแลในหอผู้ป่วยจิตเวชกับนักเขียนนิทานต่อต้านสังคมและนักวาดภาพประกอบออทิสติกที่มีความทรงจำอันแสนเจ็บปวด ดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นซีรีส์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเราต้องการดูเพื่อปลอบโยนจิตใจที่อ่อนแอ
นำเสนอแง่มุมของชีวิตที่แตกต่างกันในขณะที่ซูมเข้าไปที่ตัวละครต่าง ๆ ซึ่งแต่ละคนมีบาดแผลเป็นของตัวเอง มันมีหลายกรณีที่เราเห็นผู้คนและตัดสินว่าพวกเขาเป็นคนแบบนี้หรือคนแบบนั้น สิ่งนี้สามารถทำให้ผู้คนทำผิดพลาดและรู้สึกเสียใจ ซึ่งเรื่องนี้จะถ่ายทอดเรื่องราวการยอมรับผู้คนในสิ่งที่พวกเขาเป็นมากขึ้น หากวันนี้คุณกำลังตัดสินใจอยู่ว่าควรดู หนัง 4k
ผลงานการคัมแบ็คของคิมซูฮยอน
นับเป็นบทบาทการแสดงครั้งแรกของคิมซูฮยอนในวงการนับตั้งแต่เขาปลดประจำการจากการเป็นทหาร ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าผู้ชายทุกคนของเกาหลีจะต้องได้รับการเกณฑ์เป็นทหารโดยที่ไม่มีข้อยกเว้น ตอนที่คิมซูฮยอนเข้ากรมไปหลายคนแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นเขาจะกลับมาโลดแล่นบนหน้าจออีกครั้ง
ซีรีส์ที่ทำให้คิมซูฮยอนได้สร้างชื่อเสียงและได้เป็นนักแสดงระดับฮันรยูสตาร์ ก็คือซีรีส์เรื่อง Dream High (2011), The Moon Embracing the Sun (2012), My Love from the Star (2013), The Producers (2015) เราเองก็หวังมาตลอดว่าซีรีส์เรื่อง It’s Okay to Not Be Okay ก็จะต้องได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน และแน่นอนค่ะมันเป็นไปตามที่เราคิดเลย ถือว่าการกลับมาของคิมซูฮยอนในครั้งนี้ไม่ทำให้เหล่าแฟน ๆ ต้องผิดหวังค่ะ
ซอเยจีแสดงให้คนดูเห็นว่าเธอมีความสามารถ
ซอเยจีได้รับบทเป็นโกมุนยอง บทบาทของเธอเป็นนักเขียนหนังสือสำหรับเด็กที่ประสบความสำเร็จ แต่เธอเป็นโรคบุคลิกภาพต่อต้านสังคม ซึ่งตรงกันข้ามกับบทบาทนำหญิงในซีรีส์เกาหลีที่เราคุ้นเคย เพราะซีรีส์เกาหลีแบบธรรมดานางเอกจะต้องมีชีวิตชีวา ใจดีและเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่ในซีรีส์เรื่องนี้เธอเป็นนางเอกที่เห็นแก่ตัวสุด ๆ หยิ่งยโสและหยาบคาย เราไม่รู้ว่าคุณจะชอบบทบาทแบบนี้หรือไม่ ? แต่ผู้เขียนมองว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้ตัวละครโกมุนยองน่าหลงใหลมาก ๆ ค่ะ
อีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบเกี่ยวกับตัวละครของซอเยจีคือชุดที่มีสไตล์ สวยงามอย่างไร้ที่ติ ชุดที่เธอสวมใส่ในชีวิตประจำวันจะดูเว่อร์วัง อลังการดาวล้านดวงมาก เรารู้ว่าตัวละครของเธออยู่ในขั้นที่ว่ารวย เพราะได้รับเงินจำนวนมากจากค่าลิขสิทธิ์ของเธอในฐานะนักเขียนนิทานเด็กที่ขายดีที่สุด และมันก็สะท้อนให้เห็นถึงตัวเลือกในตู้เสื้อผ้าของเธอ ตั้งแต่ชุดสไตล์มินิมอลล์ สไตล์ยุควิกตอเรียไปจนถึงเดรสแบบธรรมดา สไตล์การสวมเสื้อผ้าของเธอทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในเทพนิยายเลยทีเดียว
เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน
เคมีระหว่างตัวละคร
สิ่งที่ดึงดูดผู้ชมได้มากที่สุดอย่างหนึ่งของซีรีส์เรื่องนี้คือ “เคมี” ที่เข้ากันของตัวละครหลัก ในช่วงแรกของ It’s Okay to Not Be Okay ตัวละครทั้งคู่อาจจะมีความไม่เข้ากันเล็กน้อยด้วยสถานการณ์ แต่ทุกฉากที่พวกเขาจ้องตากันเหมือนว่าทั้งคู่กำลังถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ นับพันโดยไม่ต้องใช้เสียงพูด
ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาระหว่างมุนคังแทและโกมุนยองเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก โกมุนยองป่วยเป็นโรคต่อต้านสังคมและมุนคังแทรับบทเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวช ตลอดชีวิตของโกมุนยองเธอต้องต่อสู้กับปีศาจในใจของตัวเอง ส่วนมุนคังแท ก็รู้ดีว่าการเข้าใกล้โกมุนยองมันอันตรายแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะอดไม่ได้ที่จะถูกดึงกลับเข้าสู่วงโคจรในชีวิตของมุนยอง
โดยเฉพาะกับอดีตที่เคยมีร่วมกันของพวกเขา มุนยองมักจะประมาทและขาดการยั้งคิด ในขณะที่มุนคังแทจะช่วยควบคุมตัวของเธอและเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขารวมตัวกันก็เหมือนกับว่าพวกเขาช่วยสร้างสมดุลให้กันและกัน มันเป็นไดนามิกที่น่าดึงดูดซึ่งไม่ทำให้ผู้ชมหลุดจากพล็อตเรื่องที่วางไว้
เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมากกว่าตาเห็น
นอกเหนือจากความโรแมนติกและเนื้อเรื่องแล้วสิ่งที่อาจสำคัญที่สุดเกี่ยวกับ It’s Okay to Not Be Okay คือการพยายามเสริมสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับสุขภาพจิต มีซีรีส์เกาหลีไม่มากนักที่พยายามแสดงให้เห็นถึงความเจ็บป่วยทางจิตและความผิดปกติ เช่น ออทิสติก โรคบุคลิกภาพต่อต้านสังคมและภาวะสมองเสื่อม ดูหนังออนไลน์ 4k
ให้ภาพที่ชัดเจนว่าการประสบกับความผิดปกติเหล่านี้เป็นอย่างไร ตัวอย่างทุกตัวจะสมบูรณ์แบบเมื่อหลับและจะกลายเป็นอีกคนเมื่อถูกสิ่งรบกวนจิตใจครอบงำ ในบางฉากเราจะเห็นอาการที่มุนยองเป็นก็คือการเป็นอัมพาตจากการนอนหลับ ในระหว่างที่เป็นอาการนั้นเธอจะรู้สึกหมดหนทาง ทำอะไรไม่ถูก ไม่สามารถเคลื่อนไหวและวิ่งหนีจากสิ่งชั่วร้ายในความคิดของเธอได้ ถือว่าเรื่องนี้ทำการบ้านได้ดีเพราะแสดงให้เห็นถึงความจริงของคนที่เป็นโรคนี้
อีกตัวอย่างที่ดีคือตัวละครมุนซังแท ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก ครั้งสุดท้ายที่เราได้เห็นตัวละครออทิสติกในซีรีส์เกาหลีอาจจะเป็นเรื่อง Good Doctor ในปี 2013 ดังนั้นการได้เห็นซังแทมีความสุขกับเรื่องง่าย ๆ ในขณะเดียวกันก็ดูแลน้องชายของเขาในแบบของเขาเอง จะทำให้ผู้ชมรู้สึกดีมากที่ได้เห็น มันยอดเยี่ยมมากที่ได้เห็นว่าซีรีส์เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่ามุนซังแทและคนอื่น ๆ ที่เข้าข่ายเป็นออทิสติกนั้นประมวลผลโลกที่แตกต่างออกไป
เป็นซีรีส์ที่แตกต่างจากซีรีส์เรื่องอื่น ๆ ที่เราเคยดูมาก่อน ตั้งแต่เรื่องราวแอนิเมชั่นที่สวยงามที่กระจัดกระจายไปทั่วแต่ละตอน ไปจนถึงการใส่ใจในรายละเอียดที่เล็กที่สุดในการผลิตและโครงเรื่อง ซีรีส์เรื่องนี้มีฉากหลังเหมือนเทพนิยายที่คล้ายกับเรื่องราวของหนังสือ บางตอนเขียนขึ้นเพื่อการแสดงโดยเฉพาะ ด้วยองค์ประกอบแบบกอธิค – สยองขวัญ แฟชั่นและการออกแบบการผลิตนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ได้ภาพที่เห็นซึ่งยังคงสอดคล้องกันตลอดทั้งเรื่อง
สิ่งที่โดดเด่นคือนักแสดงเรื่องนี้มีพรสวรรค์เกินตัว ตัวละครแต่ละตัวมีความสำคัญต่อเนื้อเรื่อง แน่นอนมันเป็นงานที่ยากที่จะดึงคาแรคเตอร์มันออกมาและพวกเขาทุกคนก็ทำได้ดีมาก แต่นอกเหนือจากความสวยงามและการแสดงที่น่ายกย่องแล้ว เรื่องราวและข้อความที่ซีรีส์ถ่ายทอดออกมานั้นเป็นเรื่องที่มีความงามอยู่อย่างแท้จริง ทางเรื่องจัดการกับหัวข้อที่ยากและละเอียดอ่อน
เช่น ความเจ็บป่วยทางจิต บุคลิกภาพและความผิดปกติของพัฒนาการ สุดท้ายแล้วทางเรื่องก็ได้แสดงให้เห็นว่าทุกคนได้รับการเยียวยาจากความเจ็บปวดและเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร นอกจากนี้ยังมีการอ้างอิงด้วยภาพเพื่ออธิบายคำศัพท์ทางการแพทย์ที่กล่าวถึงในฉากและนี่เป็นองค์ประกอบที่เราคิดว่าเป็นเรื่องจำเป็น