รีวิว SO NIC
รีวิวหนัง netflix หลังจากปล่อยให้เราปวดหัวกับโมเดลแบบเก่า จนทางสตูดิโอหนัง ยอมเลื่อนกำหนดฉาย เพื่อหอบเอาโมเดลโซนิคแบบเก่ากลับไปแก้จนถูกใจแฟน ๆ มากขึ้น ก็ถึงวันเข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ Sonic : The Hedgehog ฉบับภาพยนตร์ จะออกมาดีหรือแย่อย่างไร วันนี้ขอเชิญพบกับรีวิว Sonic : The Hedgehog
เนื่องจากต้นฉบับเกมไม่มีที่มาที่ไปของโซนิคที่ชัดเจนนัก และพอถูกนำมาเล่าเป็นหนัง ทำให้ต้องมีการเล่าปูมหลังและที่มาที่ไปของโซนิค ที่ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่สมเหตุสมผลไปบ้าง แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้น เราก็จะดำดิ่งสู่โลกของโซนิคในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ อย่างแรกเลยคือ ใครที่ติดภาพลักษณ์ของเจ้าโซนิคในฉบับเกมที่หน้าตาห้าว ๆ หน่อย อาจจะต้องปรับระดับความคาดหวังลงมา โซนิคในเวอร์ชั่นภาพยนตร์นั้น หน้าตาดูน่ารัก เหมือนเด็กวัยรุ่น ส่วนนึงก็เพราะนี่น่าจะเป็นหนังภาคแรก และเป็นจุดกำเนิดของโซนิคด้วย ยังไม่เข้าสู่ช่วงห้าวเต็มวัยแบบภาพลักษณ์ที่เราเห็นในเกม
สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ กับการยอมรับฟีดแบ็คของผู้ชมและนำเอาโมเดลโซนิคกลับไปแก้ไข จนออกมาดูดี แม้จะยังไม่ดีที่สุด แต่ก็ทำให้คาแรคเตอร์โซนิคดูน่าจดจำขึ้นมาทันที ทั้งนี้เพราะผู้เขียนนึกภาพไม่ออก ว่าถ้าเป็นเจ้าโซนิคโมเดลเก่า แต่ถูกนำมาเล่าเรื่องในหนังเรื่องนี้ เราจะอินดีหรือไม่ เพราะหน้าตามันไม่ค่อยน่าเอ็นดูเหมือนเวอร์ชั่นใหม่เอาซะเลย
ฉบับภาพยนตร์นั้น นำเสนอโซนิคให้เหมือนกับเด็กที่ได้พลังพิเศษ และพเราะการที่เขามีพลังพิเศษแถมไม่ใช่คนนี่แหละ เลยทำให้เขาไม่อาจเปิดเผยตัวตนได้ และต้องอยู่คนเดียวอย่างเหงา ๆ ตลอดเวลา ทำให้คาแรคเตอร์ของโซนิคในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากตัวละครจำพวกเด็กมีพลังพิเศษและโดนรังเกียจในเรื่องอื่น เพียงแต่เขาไม่ได้เผยตัวตน และไม่ได้โดนรุมกลั่นแกล้งเท่านั้น
นักแสดงหลักของหนังเรื่องนี้คือ James Marsden อดีตผู้รับบท Cyclops จากหนังชุด X-MEN (เวอร์ชั่นเก่าปี 2000) และอีกคนที่ขาดไม่ได้เลยคือ จิม แครีย์ แต่เราคงจะไม่บอกว่าจิม แครีย์แบกหนัง เพราะซีจีของโซนิค และการแสดงของนักแสดงท่านอื่นก็ทำออกมาได้ดี เพียงแต่ จิม แครีย์ แกออกแนวจ้างร้อยเล่นล้าน เล่นจนล้นสุด ๆ เลยทำให้ดูเหมือนว่าตัวละครของเขานั้นแย่งซีนนักแสดงท่านอื่นก็เพียงเท่านั้น เพราะต้องยอมรับจริง ๆ ว่าทุกครั้งที่จิม แครีย์ออกมาในหนัง น้อยที่สุดก็ทำให้เราหัวเราะแห้ง ๆ ได้ หรือบางฉากก็ฮาลั่นโรงเลยก็มี
รีวิว SO NIC
ในส่วนของฉากแอ็คชั่นที่ถึงแม้จะไม่เยอะ แต่ก็พอดูแบบสนุกสนานได้ แม้บางฉากจะขาดความสมเหตุสมผลแบบใหญ่มาก ในหนังนั้น นอกจากพลังความเร็วของโซนิคแล้ว เราจะได้เห็นโซนิคได้ใช้พลังของวงแหวนสีเหลืองที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเกมอีกด้วย หลังจากวิ่งตามเก็บมานานในเกม ใหนนังได้เอามาใช้สักที และคุณจะรู้สึกเลยว่าเจ้าวงแหวนของโซนิคนี่มีประโยชน์ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
หากความหวังของเราคือการได้เห็นเจ้าโซนิคออกมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์ ก็ต้องบอกว่ามันทำออกมาได้ดีมาก มากกว่าที่เราคาดหวังไว้ด้วย เพียงแต่สุดท้ายแล้วข้อดีของมันก็มีอยู่เพียงเท่านี้ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าหนังมันจะห่วยครับ หนังเรื่องนี้มันไม่แย่เลย เพียงแต่มันธรรมดาจนเกินไป จนเราไม่รู้สึกประทับใจหรือมีอารมณ์ร่วมกับมันขนาดนั้น สาเหตุที่มันธรรมดาเกินไป เพราะพลังความเร็วแบบนี้ปรากฎให้เราเห็นบ่อยแล้วในหนังหรือซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่ต่าง ๆ ดังนั้นการออกแบบฉากแอ็คชั่นในโซนิคมันเลยดูซ้ำซาก เพราะเราเคยเห็นมาแล้ว มันเลยไม่ค่อยว้าวเท่าที่ควร เราจะไม่สปอย แต่คุณไปดูแล้วจะรู้เองว่าฉากไหน
อาจเป็นเพราะนี่คือการปูพื้นภาคแรกของหนังโซนิค ทำให้การเล่าเรื่องมันยังซ้ำซากจำเจอยู่กับประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างโซนิคที่ดูเหมือนมนุษย์ต่างดาว กับพระเอกอย่างทอมที่เป็นมนุษย์ ซึ่งเราก็เห็นบ่อยมากจากหนังเรื่องอื่น ๆ นี่จึงเป็นปัญหาหลักของหนัง เพราะพล็อตแบบนี้มันมีให้เห็นเกลื่อนกลาดแล้ว ดังนั้นใครที่คาดหวังว่าโซนิคในฉบับหนังจะได้เห็นอะไรแปลกใหม่ก็อาจจะต้องทำใจไว้นิดหน่อย
แต่อย่างที่เราบอก มันไม่ใช่หนังแย่ มันเป็นหนังที่ดูสนุกมาก เด็กดูได้สบาย ๆ ไม่มีอะไรรุนแรง ผู้ใหญ่ก็ดูได้เพลิน ๆ ถ้าเป็นเกมเมอร์หรือชื่นชอบโซนิคก็จะชอบเลย และถึงแม้มันไม่ได้แย่ แต่มันก็ขาดเสน่ห์หรืออารมณ์ร่วมกับหนังไปเยอะมาก ทำให้ดูจบแล้ว เราไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับมันนัก แค่จบแล้วก็จบเลย จะมีเซอร์ไพรส์นิดหน่อยก็ช่วงตอนจบที่เป็นสัญญาณที่บอกเราว่า ภาค 2 มาแน่นอน (ถ้ารายได้เข้าเป้า)
Sonic : The Hedgehog ไม่ใช่หนังจากเกมที่แย่ และดูจากรายได้ ณ ตอนนี้ มันน่าจะประสบความสำเร็จอย่างงดงามและน่าภูมิใจในฐานะที่เป็นหนังจากเกม แต่ถ้ามองมันเป็นภาพยนตร์ทั่วไป ก็คงต้องบอกว่ามันขาดอารมณ์ร่วม และไม่ค่อยน่าจดจำสักเท่าไร อาจจะเป็นเพราะต้องวางโครงสร้างและเนื้อเรื่อง และเชื่อได้เลยว่าภาค 2 นี่ล่ะ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของโซนิคจริง ๆ ซึ่งเราก็หวังว่ามันจะประสบความสำเร็จ จนได้ทำออกมานะ
ในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ หากอยากจะผละออกจากบ้านหรือคอมพิวเตอร์และเครื่องเกม เพื่อหาหนังดู ในสัปดาห์นี้ก็คงไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวเลือกที่ดีไปกว่า Sonic : The Hedgehog แล้ว และเราคงต้องย้ำกันอีกครั้งว่า แม้มันจะไม่ใช่หนังที่น่าจดจำอะไรนัก แต่มันเป็นหนังที่ “สนุก” ครับ ใครไปชมก็อย่าลืมมาพูดคุยกันได้ล่ะ!
รีวิว
Sonic ในตอนแรกที่มีการประกาศสร้าง ก็มีแฟนๆให้ความสนใจ และรอติดตามชมกับภาพลักษณ์และตัวอย่างของหนังที่สร้างมาจากเกมดังรายนี้ แต่ก็เป็นเรื่องราวกระแสโด่งดัง(ในทางแย่) เมื่อชาวแฟนๆ และชาวโลกได้เห็นดีไซน์ของเจ้าเม่นสายฟ้าในฉบับหนังจอเงิน จนเกิดกระแสแอนตี้อย่างหนัก จนเป็นที่สนใจในวงกว้าง และตัวหนังก็ยังต้องยอมกลับไปปรับปรุงแก้ไขดีไซน์ของเจ้าโซนิคกันใหม่ทั้งเรื่อง!!และนั่นเป็นสิ่งที่ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องมาก เพราะมันช่วยส่งเสริมทางด้านความรู้สึกหลังจากได้ดูหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
หนังมีเนื้อหาที่ไม่ซับซ้อน ไม่มีอะไรต้องคาดเดาและต้องตีความให้มากมาย หนังเน้นเนื้อหาที่เบาสบาย และดูสนุก เหมาะทั้งสำหรับ เด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ ซึ่งจากตัวบทที่เรียบง่าย ทำให้เราสามารถอินไปกับบทบาทของตัวละครภายในเรื่องได้อย่างเต็มที่สิ่งที่ทดแทนเนื้อเรื่องที่เรียบง่าย นอกจากบทบาทตัวละครแล้ว สิ่งที่ทำได้ดีอีกอย่างก็คือเรื่องของฉากแอคชั่นที่ดูได้สนุกและตื่นตาในระดับนึง
ตัวหนังยังมีมุกที่คอยแทรกออกมาเรื่อยๆทำให้ขำ และยิ้มกรุ้มกริ่มได้บวกกับความซนซ่าน่ารักของเจ้าโซนิค ก็ทำให้เราดูหนังได้อย่างเพลินๆและสำหรับแฟนๆเกม ตัวหนังค่อนข้างใส่ Easter Egg fan service เข้าไปอีกเพียบท้ายที่สุดสิ่งที่ดีงามและช่วยเสริมกำลังให้เรื่องนี้คือการแสดงของ Jim Carry ในบท Dr. Eggman
สรุป
เป็นหนังที่สามารถดูได้สนุก เพลิดเพลิน สามารถลบล้างคำสบประมาทของหนังที่สร้างจากเกมได้ดีเหมาะแก่การ พาครอบครัว พาแฟน หรือนัดแก๊งเพื่อนไปดูได้ในวันหยุดพักผ่อน
เรียกได้ว่ามาสานต่อความสำเร็จจากภาคที่แล้วแบบรวดเร็ว ไม่ทิ้งช่วงให้รอนาน อย่างกับเจ้าเม่นสายฟ้าออกวิ่งอย่างนั้นแหละ เพราะว่า ‘Sonic The Hedgehog 2’ หรือ ‘โซนิค เดอะ เฮดจ์ฮ็อก 2’ นี้ ทิ้งห่างจากภาคแรก ‘Sonic The Hedgehog’ (2020) ภาพยนตร์กึ่งแอนิเมชันแบบไลฟ์แอ็กชัน ที่สร้างมาจากคาแรกเตอร์และเกมในตำนานของค่ายเซกา (Sega) เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นเอง กลายเป็นหนังสร้างจากเกมไม่กี่เรื่องที่สามารถรอดพ้นอาถรรพ์หนังสร้างจากเกมที่มักจะเห่ยสนิทและเจ๊งยับ จนในที่สุดก็ได้มีโอกาสกลับมาสร้างภาคใหม่อีกครั้ง โดยได้ ‘เจฟฟ์ ฟาวเลอร์’ (Jeff Fowler) ผู้กำกับจากภาคแรก และนักแสดงชุดเดิมจากภาคแรก กลับมาร่วมงานแบบครบทีม
เคล็ดลับความสำเร็จก็น่าจะมาจากการที่ตัวหนังดูสนุก ดูง่าย เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ก็ดูดี แถมยังเอาใจคอเกมด้วยการใส่แฟนเซอร์วิสและ Easter Egg จากเกมมาให้แบบจุก ๆ รวมทั้งการที่พาราเมาต์ พิกเจอร์ส (Paramount Pictures) ยังยอมอัดงบเพิ่ม 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อปรับแก้ดีไซน์เจ้าโซนิคเวอร์ชันแรก ที่โดนแฟน ๆ ถล่มเพราะออกมาทรงประหลาดเกินรับไหว เรียกว่าปรับแก้กันจนในที่สุดก็ออกมาน่ารักน่าชัง และใกล้เคียงกับคาแรกเตอร์ต้นฉบับที่คุ้นเคยมากกว่าที่จะเน้นความสมจริง
แน่นอนว่า เนื้อเรื่องในภาคนี้เองก็จะต่อมาจาก Mid-Credits จากภาคที่แล้วเลยครับ ซึ่งถ้าใครยังไม่ได้ดู อันนี้ผู้เขียนขอเบรกให้หยุดอ่าน แล้วไปหาดูใน Netflix ก่อนได้เลยนะครับ เพราะเนื้อหาค่อนข้างต่อและเชื่อมโยงมาจากภาคแรกพอสมควร ถ้าไม่ดูมาก่อนอาจจะมีงงและโดนสปอยล์ได้ ดูหนังใหม่
SO NIC
เนื้อหาเริ่มต้นหลังจากที่ ‘โซนิค’ (พากษ์เสียงโดย Ben Schwartz) ได้เนรเทศ ‘ดร. โรบอตนิก’ (Jim Carrey) ไปอยู่ดาวเห็ดได้ในภาคแรก เจ้าเม่นสีฟ้าก็ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของ ‘ทอม’ (James Marsden) นายอำเภอเมืองกรีนฮิลล์ (Green Hills) และคู่รัก ‘แมดดีย์’ (Tika Sumpter) โซนิคกำลังสนุกอยู่กับการแอบเป็นฮีโรฉายเดี่ยวพิทักษ์โลก (ที่สุดท้ายมักจะจบไม่ค่อยสวย)
จนกระทั่งวันหนึ่ง โซนิคต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง เพราะทอมกับแมดดีย์ต้องเดินทางไปงานแต่งงานของ ‘ราเชล’ (Natasha Rothwell) พี่สะใภ้ที่ฮาวาย ในขณะเดียวกันที่ ดร. โรบอตนิก หรือด็อกเตอร์เอกแมน (Doctor Eggman) ก็กำลังวางแผนจับมือกับ ‘นักเคิลส์’ (พากษ์เสียงโดย Idris Elba) นักรบเผ่าอีคิดนาที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่่สุดในกาแล็กซี่ เพื่อแย่งชิงมรกต (Master Emerald) อัญมณีทรงพลังที่มีอำนาจในการทำลายอารยธรรมมาเป็นของตัว โซนิคจึงต้องแย่งชิงมาให้ได้ก่อนที่จะตกไปอยู่ในมือผู้ร้าย โดยมี ‘เทลส์’ (พากษ์เสียงโดย Collen O’Shanussy) จิ้งจอกสองหางสุดอัจฉริยะ แฟนพันธุ์แท้ตัวจริงของโซนิค ร่วมมือในการปกป้องโลกในครั้งนี้ด้วย
ในส่วนของพล็อตเรื่อง ผู้เขียนแอบคิดเอาเองว่า ผู้เขียนบทน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากคอนเซ็ปต์เรื่องราวจากเกม บวกกับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวในแอนิเมชัน ‘Sonic X’ (2003 – 2006) (ฉายทาง Netflix) นะครับ ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า แต่ถ้าใครเคยดูแล้วจะร้องอ๋อเหมือนผู้เขียนแน่นอน เพราะเนื้อเรื่องในอนิเมะบางตอนนั้นมีความคล้ายกับเรื่องราวในหนังพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องราวของการแย่งชิงมรกต และ ‘ตัวละครบางตัว’ ที่โผล่มาในหนังเป็นครั้งแรก ส่วนคนที่ไม่ใช่แฟน ก็น่าจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้ได้รู้จักตัวละครใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีก และผู้เขียนเชื่อว่า ถ้าดูหนังแล้ว น่าจะอยากกลับบ้านไปดู Sonic X ต่อแน่นอน
ซึ่งตัวหนังเองก็ยังคงยึดวิธีการเขียนบท และวิธีการเล่าเรื่องในแบบเดียวกับภาคแรก ที่เน้นความเบาของเนื้อเรื่อง เดินเรื่องเป็นเส้นตรง ดูง่าย เบาสมอง เรตไม่แรง รวมทั้งการหยิบ Easter Egg จากในเกมมาใส่ได้อย่างกลมกลืนและเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนเกมได้ไม่แพ้ภาคแรก แต่สิ่งที่ทำให้ภาคนี้มีความแตกต่างก็คือ ความเล่นใหญ่นี่แหละครับ เรียกว่าภาคนี้ขยายสเกลทั้งเรื่องราว โปรดักชัน ซีจี ที่เรียกได้ว่าอัปเกรดจากภาคที่แล้วขึ้นอีกหลายเท่าตัว ตั้งแต่บทที่เน้นเรื่องราวการผจญภัยปกป้องกาแล็กซี และซีจีที่อัปเกรดจัดเต็มแบบ Epic ซะจนแทบจะกลายเป็นหนังฮีโร Marvel แบบย่อม ๆ ไปแล้ว (555)
ซึ่งไอ้ความเล่นใหญ่แบบ Epic นี่แหละที่ถือว่าเป็นการแก้ Pain Point จากภาคแรกแบบชัดเจนมาก เพราะภาคแรกจริง ๆ ก็ดูสนุกแหละครับ แต่พล็อตมันก็ค่อนข้างจะเด็ก ๆ เหมือนดูอนิเมะอยู่พอสมควร แต่พอขยายพล็อตใหญ่ขึ้น ได้เห็นการผจญภัยมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ตัวพล็อตและการดำเนินเรื่องมีพลังมากพอที่จะเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม และถือว่าเป็นอะไรที่เกินคาดมาก ๆ โดยเฉพาะใครที่อาจจะรู้สึกว่าภาคแรกอร่อยแต่ให้น้อยเหมือนกินอาหารเด็ก ภาคนี้รับรองว่ามีจุกแน่นอน
แน่นอนว่า ตัวหนังก็ยังมีข้อสังเกตก็คือ ยังมีบางฉากที่ดูจะไม่ค่อยจำเป็นและไม่ได้มีผลต่อเรื่องมากนัก ซึ่งทำให้ตัวหนังบางช่วงดูยืดยาดน่าเบื่อคล้าย ๆ ภาคแรกไปบ้าง แต่ก็ถือว่ายังพอจะแฝงเรื่องราว ใส่ Plot Twist ให้ตื่นเต้นและดูสนุก แม้ว่าตัวเรื่องจะพอเดาได้ ใส่มุกฮาให้ได้ขำพอไหล่สั่น โชว์คาแรกเตอร์ของตัวละครบางตัวได้ชัดขึ้น และยังสามารถขับเน้นประเด็นเรื่องความเป็นเพื่อนและครอบครัวได้มีพลังและชวนให้ซึ้งได้อย่างจัดเต็มมาก ๆ (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใช้ทีมสร้างเดียวกับ ‘The fast and the furious’ หรือเปล่านะ เอะอะก็ครอบครัว ๆ
ส่วนในแง่ของการแสดง ก็หนีไม่พ้นล่ะครับที่จะไม่พูดถึงตัวละครที่มาจากเกม ที่ดูจะทำได้ดีกว่าตัวละครที่เสริมแต่งในเวอร์ชันหนังไปทั้งสองภาคซะแล้วแฮะ ไม่ว่าจะเป็นเคมีระหว่างตัวละครระหว่างโซนิค เทลส์ และนักเคิลส์ ที่ทำออกมาได้น่ารักมาก ๆ และหนีไม่พ้นที่จะต้องยก MVP ให้กับลุงจิม แครีย์ (Jim Carrey) เจ้าของบทด็อกเตอร์โรบอตนิกนี่แหละครับ ที่ภาคนี้มีโอกาสได้ปล่อยลีลาแบบจัดเต็มซะยิ่งกว่าภาคที่แล้วอีก คือถ้าลุงจะเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายจริง ๆ เหมือนอย่างที่ลุงแกออกมาให้สัมภาษณ์ ก็ถือว่าเป็นการทิ้งทวนที่ไม่เสียหลายล่ะครับ
โดยสรุป ‘Sonic The Hedgehog 2’ ก็ยังทำหน้าที่เป็นภาพยนตร์สำหรับครอบครัวได้อย่างดีนะครับ ด้วยพล็อตเบา ๆ และการดำเนินเรื่องแบบเส้นตรงที่ดูง่ายไม่ซับซ้อน ในขณะที่ตัวหนังเองก็จัดเต็มได้แบบจุก ๆ ด้วยโปรดักชันและซีจีที่เล่นใหญ่กว่าภาคแรก เป็นหนังสำหรับครอบครัวที่ให้ความบันเทิงเล่นใหญ่ที่ดูได้สนุกกันทั้งครอบครัว เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ไม่ว่าจะเป็นแฟนเกมหรือไม่ก็ตาม ดูหนังฟรี
ดูหนังใหม่