รีวิว The Lincoln Lawyer
รีวิวซีรีย์ netflix ซีรี่ย์แนวกฏหมายสุดเข้มข้นที่อยากชวนทุกคนไปดู The Lincoln Lawyer (2022) แผนพิพากษา ที่ทำจากนิยายชุดของนักเขียนชื่อดัง ไมเคิล คอนเนลลี มาแนวอาชญาดราม่า มาพร้อมคดีที่ชวนให้คนดูได้ลุ้นหาคำตอบ ผ่านเรื่องราวของเทนายความ ไมเคิล ฮาลเลอร์ อาศัยอยู่ใน Los Angeles ผู้ซึ่งทำทุกวิถีทางในการว่าความให้ลูกความของเขาหลุดจากคดี
โดยไม่สนใจว่าลูกความของเขาจะผิดจริงหรือไม่ จนเมื่อไมเคิล ได้มารับงานว่าความให้กับ หลุยซ์ ราวเล็ต (Ryan Phillippe) เพลย์บอยเศรษฐีหนุ่มแห่งเบเวอร์รี่ ฮิลล์ ที่ถูกล่าวหาในคดีข่มขืนและฆ่าหญิงสาวที่บาร์ตาย ไมเคิลรับงานนี้เพียงเพราะเจอลูกค้ากระเป๋าหนักจ่ายไม่อั้นแต่เมื่อเขาเริ่มลงมือสืบหาหลักฐานของเรื่องนี้ ก็พบว่า บางจุดที่เขามองข้ามนั้นกำลังทำอันตรายกับตัวเขาและคนที่เขารัก สำหรับใครที่ชื่นชอบซีรี่ย์แนวติดตามความสนุกใน
มารู้ตัวเอาหลังจากที่อ่านจบและเปิดไปท้ายๆเล่มว่านี่คือคนเขียนคนเดียวกับ Blood Work เพราะไม่ค่อยชอบเรื่องนั้นเท่าไหร่แถมกว่าจะอ่านจบก็ใช้เวลาชั่วกัปชั่วกัลป์เอามากๆ แต่เรื่องนี้ใช้เวลาแทบจะรวดเดียวทั้งที่ปกติก็ไม่ค่อยชอบนิยายแนวขึ้นโรงขึ้นศาลเท่าไหร่ (เคยเฟลกับ The Firm มาทีแล้วไม่ว่าจะเป็นนิยายหรือหนัง) อาจจะเป็นด้…วยบุคลิคของตัวเอกที่ก้ำกึ่งอย.ู่ระหว่างการเป็นคนดีค่อนไปทางเลวนั้นถูกจริตเรามากๆ แถมการเล่าเรื่องที่แทบจะตีแผ่แวดวงกฏหมายของอเมริกาได้อย่างลึงซึ้งถึงกึ๋นนั้นก็ดูน่าเชื่อ
จนเผลอนึกว่าคนเขียนเป็นทนายจริงๆ (มารู้ทีหลังอีกเหมือนกันว่าเป็นนักข่าวสายอาชญากรรมต่างหาก) ข้อดีอย่างหนึ่งของการอ่านนิยายที่ถูกเอาไปทำเป็นหนังก็คือเราไม่ต้องลำบากกับการจินตนาการหน้าตาของพระเอกเลย เพราะตลอดเวลาที่อ่านหน้าของแม็ทธิวจะลอยขึ้นมาทันที แล้วแม่งก็โคตรเหมาะเลย คือต้องชมคนแคสติ้งหนังเรื่องนี้ว่ามึงเก่งมาก ทั้งแม็ทธิวหรือไรอันนี่มันซ้อนทับกับตัวละครได้ดีจริงๆ (อันนี้ยังไม่พูดถึงฝีมือการแสดงนะ) อ่านจบแล้วอยากดูหนังขึ้นมาเลย
การเล่าเรื่องในช่วงต้นอาจจะอืดเนือยไปบ้าง เพราะต้องใช้เวลาปูทางให้คนอ่านรู้จักพระเอกในทุกแง่มุมซะก่อน ทั้งเรื่องอุปนิสัย วิธีการทำงาน เพื่อนฝูงรอบตัวและปมในใจ หลังจากที่มั่นใจว่าคนอ่านกับตัวละครรู้จักกันดีแล้วคนเขียนก็โยนปมปัญหาใส่ตัวละครชนิดเขวี้ยงโครมเข้าเต็มหน้า แถมไอ้ตัวผู้ร้ายยังยืดอกรับตั้งแต่กลางเรื่องซะอีกว่า “เออ กูทำเองแหละ แล้วมึงจะทำอะไรได้?” ถึงตรงนี้ทั้งคนอ่านและพระเอกก็นั่งไม่ติดที่แล้ว ตัวละครก็วิ่งวุ่นหาทางออกไป คนอ่านก็เอาใจช่วยและร้อนรนอยากรู้ตอนจบ ครึ่งหลังของเล่มนี่อ่านสนุกมากจริงๆ อาจจะเป็นที่ฝีมือแปลของคุณสุเมธด้วย บรรยายได้เพลิดเพลินและเข้าถึงอารมณ์มากๆ
ถ้าจะมีอะไรที่รู้สึกขัดใจอยู่บบ้างก็ตรงการเฉลยทริคบางอย่างนั่นแหละ เพราะเอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้มีทริคอะไรเลย เป็นการหลอกให้คนอ่านหลงทางมากกว่า (เอ๊ะ แต่นี่ก็ต้องถือว่าเป็นความเก่งอย่างหนึ่งสินะ) รู้สึกว่ามันง่ายไปหน่อย แต่นอกนั้นต้องถือว่าดีเยี่ยม ทั้งบทสรุปที่ไม่ได้สุขสมแฟนตาซี และชะตากรรมของทุกๆตัวละครที่ได้รับในสิ่งที่ควรจะเป็น เป็นนิยายแปลที่อ่านแล้วชอบมากของปีนี้ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ตรงข้ามกับตอนที่อ่าน “สืบสังหรณ์” เอามากๆ (ไว้จะเขียนถึงเหมือนกันแต่ขอนึกก่อนว่าจะด่ายังไงให้สมกับความเหี้ยห่าระยำหมาของมันดี) ไว้ได้ดูหนังเมื่อไหร่แล้วจะมาเขียนถึงอีกที
รีวิว The Lincoln Lawyer
“คืนก่อนแต่งงาน ไมเคิลออกฉลองสละโสดกับเพื่อนสนิทสี่คน แต่พวกเพื่อนๆกลับเล่นพิเรนทร์ด้วยการจับไมเคิลซึ่งเมาไม่ได้สติใส่โลงฝังไว้ใต้ดินในป่าทางใต้ของลอนดอน โดยวางแผนว่าจะทิ้งเขาไว้ในโลงซักสองสามชั่วโมงแล้วค่อยขุดขึ้นมา จากนั้นทั้งสี่คนก็บึ่งรถไปตระเวนฉลองต่อ
แต่ในไม่กี่อึดใจ รถที่ทั้งสี่คนนั่งมาก็แหกโค้งตายสยองยกคัน…”
นั่นคือเรื่องย่อด้านหลังปกของ “สืบสังหรณ์ (Dead Simple)” ของปีเตอร์ เจมส์ ซึ่งถ้าคุณอ่านแล้วรู้สึกว่ามันดูลึกลับเขย่าขวัญ น่าสนใจ ก็ขอให้รู้ไว้เถอะว่าความรู้สึกดังกล่าวมันจะมีแค่ตอนอ่านปกหลังหน้านี้หน้าเดียวเท่านั้น เพราะที่เหลืออีกประมาณ 453 หน้าคือความน่าเบื่อชนิดฉิบหายวายป่วง เป็นสี่ร้อยกว่าหน้าที่ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่าสนุก ระทึกขวัญ เขย่าประสาท หรือคำเชียร์ห่าเหวอะไรที่อยู่บนปกหลังหรือในหน้าคำนำของสำนักพิมพ์เลย
การดำเนินเรืองก็เรื่อยเฉื่อยเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่ต้นยันจบ ปมในใจพระเอกก็ยัดเข้ามาแบบทื่อๆ ไม่มีผลหรือเป็นส่วนผลักดันอะไรกับเนื้อเรื่อง นอกเหนือจากการที่ทำให้พระเอกต้องพึ่งพาศาสตร์ลี้ลับในการสืบสวน (ซึ่งนิยายกล่าวถึงประเด็นนี้แบบผิวเผินฉาบฉวยมากๆจนรู้สึกว่าตัดทิ้งไปก็ไม่เสียหายอะไร เพราะที่เป็นอยู่ก็ฉิบหายไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว) ยิ่งช่วงท้ายของเรื่องจนไปถึงไคลแม็กซ์นี่ยิ่งน่าหัวร่อ เพราะมันทั้งง่อยทั้งโง่จนกูไม่รู้จะด่าคนเขียนหรือด่าตัวเองดีที่เสียเวลาอ่านมึงมาจนจบ ไม่รู้มึงเป็น International Bestsellerได้ยังไง นี่คนทั้งโลกเสียรู้เหมือนกูเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?
ใจจริงอยากเขียนด่าสั้นๆประมาณ “เหี้ยห่าระยำหมา” แล้วจบเลย แต่จะดูขาดหลักการและใช้อารมณ์มากไปหน่อย ทำอย่างนั้นมันจะดูไม่ใช่ผู้เจริญ (แต่จริงๆเราก็ไม่ใช่นักวิชาการนี่นะ และจริงๆหนังสือมันก็ควรค่ากับคำประมาณนี้แหละ) สรุปว่างานนี้นับถือคนเขียนเรื่องย่อนะ หลอกให้กูซื้อได้ แถมยังหยิบมาอ่านก่อนหน้าหนังสือดีๆอีกหลายเรื่องที่ดองไว้ซะอีก สรุปว่างานนี้กูพลาดเอง สมน้ำหน้า
หนังสือแนะนำจากคุณนุ้ยและคุณเว สองสามีภรรยาสุดเปรี้ยวแสนน่ารัก โดยมีประโยคโน้มน้าวใจอันแสนทรงพลังที่ว่า “มันเหมาะกับคุณแฟนฯมากกว่า” (ซึ่งอาจแปลได้ว่านี่คือนิยายลึกลับ เขย่าขวัญ โหดอำมหิต วิปริตจิตแตก และมีปริมาณเลือดมากพอๆกับปริมาณน้ำตา) จนทำให้ผมต้องตัดใจวาง “พระอาทิตย์เที่ยงคืน” ที่กำลังสนุกสนานแ…ละหันมาดื่มด่ำกับโลกบิดเบี้ยวของมาซายูกิและชิเอคิ จนสัมผัสการมองเห็น ได้ยิน และรับรู้กลิ่น เริ่มพันกันยุ่ง ประสาทสัมผัสส่งเสียงเปรียะแหลม และได้กลิ่นฉุนไหม้ของอินทรียสาร เหมือนเส้นด้าย หรือไม่ก็เล็บมือ
Piercing เป็นหนังสือที่มีจำนวนหน้าน้อยนนิดแค่ 172 หน้า แถมในเนื้อหายังมีตัวละครหลักอยู่แค่ 2 ตัว ใช้สถานที่อยู่แค่ 3-4 แห่ง บทสนทนาทั้งเรื่องเต็มที่ก็มีไม่เกินหนึ่งหน้ากระดาษ A4 ที่เหลือทั้งหมดคือพรรณาโวหารที่เหมือนจะพาเราท่องไปในห้วงความคิดของฆาตรกร ของเหยื่อ (สองสถานะนี้จะสลับกันไปมาตลอดทั้งเรื่อง) ที่เต็มไปด้วยความวิปริตบิดเบี้ยว และมีความพลิกผันของสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา
ถ้าจะว่ากันจริงๆมันเป็นนิยายที่มีพล็อตเรื่องแสนบางเบา แต่แข็งแรงมากๆในแง่ของไอเดีย หลายฉากหลายตอนในเรื่องมีความเหวอในระดับสิบกระโหลก ชนิดที่ถ้าถูกทำเป็นหนังคนดูคงถึงกับปากอ้าตาค้างกันคาโรง มันอาจจะไม่มีความโหดชนิดเฉือนเนื้อตัดกระดูก แต่ความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของตัวละครนี่แหละที่จะทำให้คนอ่านหายใจไม่ทั่วท้อง และอึดอัดสับสนกับความรู้สึกที่ไม่รู้จะเอาใจช่วยใครดี
ระหว่างเหยื่อที่อาจจะกลายเป็นฆาตรกร และฆาตรกรที่กำลังจะกลายเป็นเหยื่อ ฉากที่ผมชอบที่สุดคือฉากที่ตัวละครเอกกำลังวางแผนการฆาตรกรรม ซึ่งให้รายละเอียดตั้งแต่การเลือกเหยื่อ การเลือกสถานที่ กรรมวิธีการฆ่า ไปจนถึงแผนการอำพรางหลักฐานและหลบเลี่ยงตำรวจ ซึ่งทำได้ชัด ลึก และ“สมจริง”เอามากๆ และเมื่อเรื่องราวดำเนินมาจนถึงตอนจบ ในขณะที่คนอ่านกำลังเพลิดเพลินกับวัฏจักรของการทำร้ายที่เกิดขึ้นภายในห้อง มุราคามิก็จัดการปิดประตูใส่หน้าคนอ่าน และทิ้งให้เราต้องจินตนาการเรื่องราวหลังจากนั้น ตามแต่รสนิยมและความบิดเบี้ยวในจิตใจของคนอ่านเอง ดูหนังใหม่
แนะนำให้อ่านสำหรับผู้ที่ชอบนิยายแนวอาชญวิทยา หนังสือเล่มบางอ่าน 2 วันก็จบ (มาตรฐานคนทั่วไป แต่ถ้าระดับ “หนอน” วันเดียวก็เหลือแหล่) หลังจากอ่านเรื่องนี้จบผมใช้ความพยายามเสาะหา In the Miso Soup ผลงานก่อนหน้าของริว มุราคามิ จนได้มาในครอบครอง ไว้อ่านแล้วจะมาบอกว่าเรื่องไหนหม่นมืดและหดหู่กว่ากัน
สารภาพว่าครั้งแรกที่เห็นหนังสือเรื่องนี้วางอยู่บนชั้นความรู้สึกแรกคือตกใจ เพราะหนาบ้าคลั่งมาก ประมาณว่าทั้งชั้นวางซ้อนได้เต็มที่สองเล่ม ไม่สามารถวางซ้อนสามสี่เล่มเหมือนหนังสือเรื่องอื่นได้ พอเห็นว่าเป็นงานของฮิราชิโนะ เคโงะก็ชักหนักใจเพราะหนายังไงแฟนทาสอย่างเราก็ต้องซื้อ แถมซื้อมาแล้วกว่าจะปลุกปลอบใจให้เริ่มอ่านได้ก็ใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ ตอนอ่านก็ลำบากเพราะจะนอนอ่านเหมือนหนังสือทั่วไปก็ไม่ได้
ยกไว้นานๆก็จะมีอาการปวดแขน ดีไม่ดีเกิดผล็อยหลับไปหนังสือร่วงใส่หน้ามีหวังตาหูแหก (ยิ่งถ้าไอ้ที่ตกมาเป็นสันหนังสืออาจถึงกับต้องไปทำศัลยกรรม) ดูยากเข็ญลำเค็ญขนาดนั้นแต่ต้องบอกว่านี่เป็นหนังสือที่คุ้มค่ากับเงินทองและเวลาที่เสียไปให้กับมันจริงๆ เพราะเรื่องราวระดับมหากาพย์อันแสนยาวนานของตัวละครหลักอย่างเรียวจิและยูกิโฮะช่างเปี่ยมไปด้วยสีสัน (หม่นๆ) และน่าจับใจ ใครอื่นอาจจะนิยามว่านี่คือนิยายสืบสวนสอบสวนสุดมืดมน แต่สำหรับผมมันคือนิยายรักแสนหวานความหนา 1,044 หน้าที่ฉาบไว้ด้วยฉากฆาตรกรรม เซ็กส์วิปริต และเป็นนิยายรักที่ตลอดทั้งเรื่อง ไม่มีฉากไหนที่ตัวละครเอกทั้งสองอยู่ร่วมกันเลย
The Lincoln Lawyer
หลังจากเปิดเรื่องด้วยเหตุฆาตรกรรมในปี 1973 หนังก็เล่าเรื่องสลับไปมาระหว่างสองตัวละครเอก “คิริฮาระ เรียวจิ” บุตรชายของผู้ตาย และ “นิชิโมโตะ ยูกิโฮะ” บุตรสาวของผู้ต้องสงสัย ผ่านทางบุคคลอื่นๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคนทั้งสอง บ้างเป็นเพื่อน บ้างเป็นเหยื่อ (บ้างก็เป็นทั้งสองอย่าง) นี่ไม่ใช่นิยายที่เก็บงำประเด็นสำคัญไว้เฉลยในตอนจบ (ส่วนใหญ่นิยายของเคโงะก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว)
ผู้เขียนมีการบอกใบ้ถึงกลวิธีและแรงจูงใจของตัวละครในการกระทำสิ่งต่างๆตลอดเวลา คนอ่านจะสามารถค่อยๆปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆที่เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน คล้ายกับการต่อจิ๊กซอว์ที่เริ่มจากมุมเล็กๆ แผ่ขยายจนเป็นภาพขนาดใหญ่ และเมื่อเราเห็นภาพรวมของรายละเอียดทั้งหมด ก็จะพบว่าในเรื่องราวที่เหมือนจะเป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกันของตัวละครเอกทั้งสองนั้น แท้ที่จริงแล้วถูกเชื่อมโยงและซ้อนทับกันมาตลอด
ทุกการกระทำของตัวละครไม่ว่ามันจะเลวร้ายและรันทดหดหู่ขนาดไหน หากนั่นคือการกระทำเพื่อกันและกัน และถึงแม้ว่าตลอดทั้งเรื่องจะไม่มีฉากไหนที่ตัวละครเอกทั้งสองได้อยู่ร่วมกันเลย (ความสัมพันธ์ของทั้งสองถูกอธิบายด้วยการคาดเดาเหตุการณ์ของนายตำรวจที่ตามคดีนี้เท่านั้น) แต่เมื่อพิจารณาถึงรูปแบบของการใช้ชีวิตและการตัดสินใจในตอนท้ายของตัวละคร เราก็พบว่าทั้งหมดถูกผลักดันด้วยความรักที่มีต่อกันอย่างมากมายมหาศาล แม้มันจะน่าเศร้าตรงที่รักนั้นเกิดจากหัวใจที่แตกสลายของคนสองคนก็ตาม
ข้อเสียอันใหญ่หลวงของหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ความหนาที่ดูจะไม่เป็นมิตรกับคนอ่านทั่วไปนัก แต่เกิดจากสำนวนการแปลของคุณสุริยงวรวุฒิ สิริวัฒน์กุล (ชื่อจะยาวไปไหน?) ที่ดูประดักประเดคิดและทำให้การอ่านมีช่วงสะดุดเป็นระยะๆ บทสนทนาบางตอนก็ดูแปลกแปร่งจนน่าสงสัยว่ามนุษย์โลกไหนหนอจะคุยกันแบบนี้ โชคดีที่เรื่องราวของหนังสือมีความแข็งแรงมากพอที่จะทำให้เรามองข้ามรอย.แผลเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ไปได้
แต่หากเนชั่นยังมีต้นฉบับของเคโงะอยู่ในมือ ได้โปรดทบทวนผู้ที่จะมาทำหน้าที่แปล หรือถ้าคุณสุริยงวรวุฒิจะทบทวนการทำงานของตัวเองก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง เพราะเสียงก่นด่าจากแฟนๆของเคโงะตอนนี้ก็ดังในระดับ “หูชา” อยู่แล้ว อย่าปล่อยให้ชื่อตัวเองเป็นชื่อที่นักอ่านหวาดระแวงหรือ “แขยง” ที่จะหยิบเลย
นวนิยายสืบสวนสอบสวนในวงการศาล เหนือชั้นด้วยการเล่าเรื่องที่น่าตื่นเต้น และสมจริง สร้างความฮือฮาในวงการด้วยยอดขายอันดับหนึ่ง และได้รับการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด เรื่องราวของทนายความ ไมเคิล ฮาลเลอร์ อาศัยอยู่ในลอสแองเจลิสผู้ซึ่งทำทุกวิถีทางในการว่าความให้ลูกความของเขาหลุดจากคดี โดยไม่สนใจว่าลูกความของเขาจะผิดจริงหรือไม่ เมื่อไมเคิล ได้รับงานว่าความให้กับ ดูหนังฟรี
หลุยซ์ ราวเล็ต (Ryan Phillippe) เพลย์บอยเศรษฐีหนุ่มแห่งเบเวอร์รี่ ฮิลล์ ที่ถูกล่าวหาในคดีข่มขืนและฆ่าหญิงสาวที่บาร์ตาย ไมเคิลรับงานนี้เพียงเพราะเจอลูกค้ากระเป๋าหนักจ่ายไม่อั้น แต่เมื่อเขาเริ่มลงมือสืบหาหลักฐาน ก็พบว่า บางจุดที่เขามองข้ามนั้นกำลังทำอันตรายกับตัวเขาและคนที่เขารัก !!