the takeover รีวิวหนัง เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญของ ในเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับแฮ็กเกอร์รุ่นเยาว์ที่พยายามสร้างความยุติธรรมให้กับสังคมด้วยการเป็นแฮ็กเกอร์ผิวขาว (ดี) จนกระทั่งเธอถูกปลอมแปลงเป็นฆาตกรโดยวิดีโอ def. I. จนกว่าตำรวจจะตามเขาทัน เธอจึงต้องค้นหาว่าใครรับผิดชอบทั้งหมด ดูหนังออนไลน์
ประเภท: แอคชั่น / อาชญากรรม
ผู้กำกับ: แอนมารี แวน เดอ มอนด์
นำแสดงโดย: ฮอลลี่ เมย์ บรู๊ด, เคซา ไวสซ์, ฟรังก์ ลามเมอร์ช
ความยาว: 87 นาที
กำหนดฉายในไทย: 1 พฤศจิกายน 2022 (ที่ Netflix)
The Takeover เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญของ ข่าวหนังNetflix ในเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับแฮ็กเกอร์รุ่นเยาว์ที่พยายามสร้างความยุติธรรมให้กับสังคมด้วยการเป็นแฮ็กเกอร์ผิวขาว (ดี) จนกระทั่งเธอถูกปลอมแปลงเป็นฆาตกรโดยวิดีโอ def. I. จนกว่าตำรวจจะตามเขาทัน เธอจึงต้องค้นหาว่าใครรับผิดชอบทั้งหมด
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีงบประมาณต่ำเพียง 200,000 ยูโร (ประมาณ 7 ล้านบาท) ตามเว็บไซต์ IMDB แต่พยายามสร้างเป็นประเภทแอ็คชั่น-ระทึกขวัญ สูตรสำเร็จของฮอลลีวูด คือ หยิบของที่ยืมมาผสมกัน เรื่องนี้ดูคุ้นๆ มันเร็วกว่านรกด้วยกันตลอดทั้งเรื่อง แต่สำหรับงบประมาณเพียงเล็กน้อยก็ยังดีพอ
เรื่องย่อ
เรื่องราวทั้งหมดจะติดตามสองตัวละครหลัก ตำรวจที่เคยเป็นเพื่อนกันสมัยวัยรุ่น แต่ไม่ได้คุยกันมานาน เปิดเรื่องมาที่สารวัตร Ousmane Diakité (รับบทโดย Omar Sy) ตำรวจผิวดำที่มักโดนเหยียดแต่เขาก็ยังคงยืนหยัดและต่อสู้เพื่อความถูกต้อง อยู่มาวันหนึ่งเขาต้องมาสืบคดีฆาตกรรมปริศนาที่สถานีรถไฟ ปรากฎว่ามีตำรวจอีกคนที่มาสืบคดีนี้เช่นกัน นั่นคือ François Monge (รับบทโดย Laurent Lafitte) เพื่อนเก่าที่เคยบาดหมางกันในอดีต แต่สุดท้ายทั้งคู่ต้องมาช่วยกันสืบคดีด้วยกัน ซึ่งทั้งสองนิสัยต่างกันสุดขั้ว ระหว่างการสืบคดีก็ต้องเจอกับเรื่องราววุ่น ๆ แสนวายป่วง ตลกโปกฮา สุดท้ายแล้วบทสรุปของคู่หูคู่ฮานี้จะเป็นอย่างไร ทุกคนต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง The takeover steam สามารถรับชมได้แล้วตอนนี้พร้อมพากย์ไทยทาง Netflix
the takeover รีวิวหนัง
บทและการดำเนินเรื่อง บทของเรื่องนี้ก็ไม่ได้แปลกใหม่หรือน่าสนใจอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว ให้อธิบายง่ายๆก็คือ หนังตลกสูตรสำเร็จที่ดูได้สนุกเพลินๆ เรื่องราวก็น่าติดตามพอตัว มีมุกตลกแอบแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง เพื่อให้ผู้ชมไม่เบื่อ แถมในบางฉากยังมีการพูดถึงเรื่องการเหยียดผิวด้วย ซึ่งถือว่าดี โดยรวมแล้วก็ทำได้ดีตามมาตรฐานทั่วไป ต่อไปด้านการดำเนินเรื่อง ในส่วนนี้ถือว่าทำได้ดี ดำเนินเรื่องรวดเร็ว กระชับ เข้าใจง่าย ในส่วนนี้ทำได้ดีแล้ว ไม่มีอะไรจะติมากมาย
แสดงและการออกแบบตัวละคร มาที่เรื่องการแสดงกันก่อน ในส่วนนี้ถือว่าทำธรรมดาทั่วไปมากๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับแย่ ก็ตามสไตบ์หนังแนวนี้ ไม่ต้องใช้เทคนิคการแสดงอะไรมากมาย แต่ส่วนตัวผมค่อนข้างชอบการแสดงของ Laurent Lafitte ที่รับบทเป็นคู่หูพระเอก สายชิว สายฮา คนนี้แสดงดีอยู่ ปั่นดี แต่บางฉากก็มีมุขแป๊กไม่ค่อยฮาเหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วดี ส่วนการแสดงของ Omar Sy พระเอกของเรื่อง คนนี้ก็แสดงเหมือนเดิมเลย เหมือนในซีรีส์ Lupin แบบเดียวกันเป๊ะ หน้านิ่งๆ ลุคเงียบๆหน่อย ส่วนนักแสดงคนอื่นๆก็ทั่วไป แสดงได้ตามมาตรฐานของหนังแนวนี้ ต่อมาด้านการออกแบบตัวละคร ด้านนี้ถือว่าทั่วไป ผมชอบแค่ตัวละครคู่หูพระเอก ตัวละครนี้ออกแบบมาดี เป็นตัวปั่นตัวโจ๊ก มาคู่กับพระเอกที่เงียบหน่อย แต่ก็ติดฮา ก็ถือว่าทำได้ดี
องค์ประกอบหนัง
เปลี่ยนโหมดเพื่อชมภาพยนตร์ดัตช์บางเรื่อง เพราะนี่คือภาพยนตร์อาชญากรรมไซเบอร์ที่อาจไม่เข้าตาคนดูด้วยซ้ำ เพราะนักแสดงและโปรดักชั่นไม่ค่อยมีชื่อเสียง แต่น่าเสียดาย.. หนังดูค่อนข้างน่าสนใจและเข้าใจง่ายในภาพยนตร์ต้นฉบับของเนเธอร์แลนด์ 100% เรื่อง Takeover แม้ว่าพล็อตเรื่องจะค่อนข้างเป็นสูตรก็ตาม แต่มันเป็นสิ่งที่ซ้ำซากที่สามารถเพลิดเพลินได้
มาพูดถึงหนังดัตช์ที่เราอาจไม่คุ้นเคยกัน นี่เป็นผลงานของผู้กำกับหญิง Annemarie Vandermonde ผู้ซึ่งเคยสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์มาแล้ว แต่คราวนี้ มาเลือกนางเอกเพื่อสร้างหนังแอ็คชั่นระทึกขวัญกันเถอะ นอกจากงานต่างประเทศแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าพอใจมาก แม้จะอยู่ในช่วงปกติก็ไม่มีอะไรใหม่เลย
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า the takeover movie เหมือนเป็นการผสมผสานหนังแนว ๆ นี้หลายเรื่องของฮอลลิวูดมายำเอาไว้ หยิบองค์ประกอบนั่นนี่มาประกอบร่างขึ้นมา กับบทหนังที่ไม่ค่อยจะหนักแน่นอะไรเลย หนังเกือบจะจืดสนิทไปแล้ว ถ้าหากไม่มีพวกฉากไล่ล่ากับลีลากลยุทธ์แบบแฮกเกอร์มาเสริม เป็นหนังที่เกือบจะมีชั้นเชิงและยังไม่คมคายสักเท่าไหร่
โชคดีที่ทิศทางการเล่าเรื่องของหนังค่อนข้างกระชับ บอกได้เร็วและตรงประเด็นง่าย อาจเป็นเพราะหนังมีความยาวน้อยกว่า 90 นาที สิ่งต่างๆ จึงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีตัวช่วยเก็บหนังไว้นิดหน่อย โชคดีที่จังหวะของภาพยนตร์ช่วยรักษากระบวนการไว้ได้ โดยแก้สถานการณ์ให้น่าสนใจ
ในด้านการแสดง เราอาจไม่คุ้นเคยกับนักแสดงชาวดัตช์ แต่คิดว่าเล่นตามมาตราฐาน โชว์ไม่เก่งแต่ก็ไม่เลว “ฮอลลี่ เมย์ บรูด” จะพาหนังทั้งเรื่อง แต่เธอแทบจะทนอยู่คนเดียวไม่ไหว คงจะดีถ้ามีตัวประกอบอื่นๆ (เช่น “Kesa Weisz” หรือ “Frank Lamerch”) เป็นส่วนเสริมเพื่อช่วยให้พวกเขารวมตัวกัน
โดยสรุปแล้ว the takeover netflix ถือเป็นหนังแอคชั่นโจรกรรมไซเบอร์ที่อาจจะไม่ได้ฟอร์มใหญ่เท่าไหร่ ดูจะเป็นหนังเกรดบีหน่อย ๆ ด้วยซ้ำ แต่ก็มีประเด็นที่น่าสนใจและชวนเพลินอยู่ แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างของหนังจะไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย เป็นการหยิบเอาไอเดียจากหนังดัง ๆ แนวนี้มายำเป็นจานใหม่ออกมา ถึงหนังจะไม่ค่อยคมคายเท่าไหร่ บทหนังค่อนข้างเบาโหวง แต่เพราะด้วยองค์ประกอบสูตรสำเร็จเหล่านั้น ก็ยังทำให้หนังออกมาพอดูได้อยู่
the takeover รีวิวหนัง
ตัวเอกของเรื่องคือแฮ็กเกอร์ที่มีการเกริ่นนำปูประวัติสั้นๆ ตอนต้นเรื่องว่าเทพตั้งแต่เด็ก โดยมีแฮ็กเกอร์รุ่นเดอะอีกคนไปพบเจอเธอ ตัวเรื่องก็นำความสามารถของเธอให้เข้าไปพัวพันกับอันตราย มีคนมาตามล่า พยายามพึ่งตำรวจก็ล้มเหลว ก่อนที่จะร่วมมือกับทีมแฮ็กเกอร์ของเธอเองไขปริศนาว่าพวกที่มาล่าเธอคือใคร ซึ่งก็กลายเป็นตัวร้ายที่มีแผนการระดับครองโลก พร้อมกับทฤษฎีสมคบคิดว่าประเทศมหาอำนาจอยู่เบื้องหลัง ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามสูตรเป๊ะๆ แต่ในระดับหนังทุนต่ำ บทจึงให้ทุกอย่างดำเนินไปแบบง่ายสุดๆ
เน้นลงล็อคเข้าจังหวะเพื่อไปต่อเร็วๆ โดยไม่ต้องใส่รายละเอียดให้สมจริงอะไรมาก เพราะเวลาของเรื่องนี้ก็น้อยเพียงแค่ไม่ถึง 90 นาที แต่มันก็เป็นผลดีที่ทำให้ตัวเรื่องกระชับไม่เยิ่นเย้อ ถือว่าพอดูสนุกเพลินๆ กับฉากไล่ล่าหนีตายแบบวิ่งไปเรื่อยๆ โดยมีช่วงแฮ็กอะไรสั้นๆ นิดหน่อยพอให้รู้สึกว่าได้ใช้สกิลของเธออยู่บ้าง แล้วก็มีไคลแม็กซ์ของเรื่องที่ออกแนวสปีดต้องหยุดรถเมล์อัตโนมัติด้วยการแฮ็กให้ทันเวลา ซึ่งก็มีลุ้นนิดๆ พอให้ตื่นเต้นอยู่บ้าง
ตัวหนังยังพยายามเล่นกับเทคโนโลยีใหม่หลายอย่างที่กำลังเข้ามามีบทบาทใช้งานในโลกนี้วงกว้าง อย่างรถโดยสารไร้คนขับ ระบบสแกนใบหน้าและตามหาใครก็ได้ผ่านกล้องที่ติดในเมือง โปรแกรมดีปเฟคที่สร้างวิดีโอปลอมใส่ร้ายใครก็ได้ ไปจนถึงการสอดแนมล้วงข้อมูลผ่านการใช้แอปต่างๆ ที่ผู้ใช้ไม่ได้รู้ตัวหรือยินยอม ซึ่งก็ถือว่าเรื่องนำเสนอผลร้ายของเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาได้ดี เพียงแต่บางอย่างก็ดูเว่อร์แบบเหลือเชื่อเกินจริงมากไปหน่อยเท่านั้น
นอกจากนี้ยังพยายามแทรกเรื่องความรักแบบเบาๆ ลงไป โดยให้นางเอกได้ไปนัดเดทผ่านออนไลน์ก่อนที่จะเจอผู้ชายไม่ตรงปกตรงสเป็ค แล้วก็ชิ่งหนีมา แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมาเธอลองกลับไปหาเขาเพื่อขอหลบซ่อนตัว แต่กลายเป็นว่าทั้งคู่ต้องมาร่วมผจญภัยหนีตายด้วยกัน แล้วผู้ชายที่ดูเหมือนพึ่งไม่ได้ในตอนแรกกลับกลายมาเป็นคู่หูช่วยเหลือที่ดีแบบผิดคาด เหมือนจะสอนว่าอย่าตัดสินอะไรจากหน้าตาหรือครั้งแรก ให้ดูกันลึกๆ ถึงนิสัยใจคอที่แท้จริงกันก่อน ในยามวิกฤติของเรื่องนี้ก็ทำให้นางเอกได้เปลี่ยนทัศนคติแง่ลบของตัวเองไปในที่สุด
แต่ตัวนางเอกเองคือส่วนที่ดูแล้วไม่ค่อยอินเท่าไหร่ เพราะหลายอย่างเธอก็ไม่ได้ดูเหมือนแฮ็กเกอร์ รูปร่างหน้าตาก็ไม่มีเสน่ห์ เรียกว่าผู้สร้างพยายามจะทำให้เธอดูเป็นพวกอยู่หน้าคอมแบบเนิร์ด แต่มันก็ไม่รู้สึกว่าเป็นแบบนั้นได้เลย ยิ่งการไล่ล่าหนีตายนี่หลายอย่างเธอหยั่งกะพวกฟรีรันนิ่งด้วย ยิ่งผิดจากลุคแฮ็กเกอร์เข้าไปใหญ่
สรุปโดยรวม
โดยรวมก็ถือว่าเป็นหนังทริลเลอร์เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่พอดูเพลินๆ ได้ ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้มีดีอะไรมากนักเช่นกันครับ
แต่ตัวนางเอกเองคือส่วนที่ดูแล้วไม่ค่อยอินเท่าไหร่ เพราะหลายอย่างเธอก็ไม่ได้ดูเหมือนแฮ็กเกอร์ รูปร่างหน้าตาก็ไม่มีเสน่ห์ เรียกว่าผู้สร้างพยายามจะทำให้เธอดูเป็นพวกอยู่หน้าคอมแบบเนิร์ด แต่มันก็ไม่รู้สึกว่าเป็นแบบนั้นได้เลย ยิ่งการไล่ล่าหนีตายนี่หลายอย่างเธอหยั่งกะพวกฟรีรันนิ่งด้วย ยิ่งผิดจากลุคแฮ็กเกอร์เข้าไปใหญ่
แต่โดยรวมก็ถือว่าเป็นหนังทริลเลอร์เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่พอดูเพลินๆ ได้ ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้มีดีอะไรมากนักเช่นกันครับ
งานภาพและการโปรดักชั่น ในด้านงานภาพนั้น ถือว่าทำได้ดีมากสำหรับหนังแนวนี้ เรื่องนี้น่าจะทุนสร้างเยอะพอสมควร เพราะงานภาพออกมาสวยเลย มุมกล้องดี จัดแสงได้ดี โทนสีที่ใช้ก็ดี สีสันสดใส ทำให้บรรยากาศในหนังดูเป็นมิตรมากขึ้น แต่มันเจ๋งตรงที่บางฉากมันก็มีความสยองขวัญและติดเรท แต่สีสันของภาพกลับสดใสสวนทางกัน ส่วนนี้ผมชอบมากๆ ต่อมาส่วนสุดท้าย ด้านการโปรดักชั่นต่างๆ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมตัวละคร เทคนิคพิเศษ CGI เพลงประกอบ การตัดต่อ การลำดับเสียง ในส่วนนี้ผมไม่มีอะไรจะติเลย งานโปรดักชั่นของหนังเรื่องนี้แจ่มมากๆ และถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้เลย คือมันอลังการเกินว่าหนังแอ็กชัน-คอมเมดี้ทั่วไป ส่วนนี้ไม่มีอะไรจะติจริงๆ ทำได้ดีมากแล้ว
สรุปและให้คะแนน
หลังจากรีวิวมาซะยาว ผมขอมาสรุปภาพรวมอีกที โดยรวมแล้วจากความรู้สึกส่วนตัวของผม ผมมองว่าหนังเรื่องนี้ถือเป็นหนัง แอ็กชัน-คอมเมดี้ ที่ดูได้เพลินๆ มีฉากตลก และปั่นๆ หลายฉาก งานโปรดักชั่นก็ดี เรื่องราวแม้ว่าจะไม่ได้น่าติดตามอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดน่าเบื่อ คือดูไปได้เรื่อยๆจนจบเรื่อง หนังเรื่องนี้เหมาะสำหรับคนที่ว่างๆ อยากหาหนังตลกๆดูแก้เบื่อในวันหยุด ผมแนะนำให้ลองไปดูเรื่องนี้กันได้ มีพากย์ไทยด้วย ดูได้ทุกคน แต่ไม่อาจทุกเพศทุกวัย เพราะมีฉากติดเรทเยอะอยู่พอสมควร ท้ายสุดนี้ผมขอให้คะแนน the takeover 2022 ไว้ที่ 6.5/10 คะแนน